บร็อคโคลี่ (Broccoli) เป็นผักที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองหนาว เช่น ทวีปยุโรป แถวๆประเทศอิตาลี โดยบร็อคโคลี่ได้มีการนำเข้ามาปลูกในไทยแถวจังหวัด เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี และกรุงเทพ ซึ่งบร็อคโคลี่นั้นเป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย และมีราคาสูง เพราะเป็นผักเมืองหนาว เราจึงมีวิธีการปลูกบร็อคโคลี่มาแนะนำ เพื่อให้เป็นแนวทางในการสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรด้วย
ต้นบร็อคโคลี่ มีลักษณะเป็นทรงพุ่มใหญ่เก้งก้าง ลำต้นใหญ่และอวบ ลักษณะของดอกมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เซนติเมตร จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นมีสีเขียวเข้ม ส่วนลักษณะของใบจะกว้างมีสีเขียวเข้มออกเทา ริมขอบใบหยัก ตามปกติแล้วเราจะนิยมบริโภคในส่วนที่เป็นดอกและในส่วนของลำต้นจะนิยมรองลงมา แต่คุณค่าทางอาหารกลับมีอยู่มากในส่วนของลำต้น ดังนั้นการรับประทานทั้งสองส่วน ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด
วิธีการปลูกบร็อคโคลี่
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
บร็อคโคลี่ ต้องการสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับกะหล่ำดอกทั่วไป คือชอบดินร่วน มีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 6-6.5 มีความชื้นดินที่เหมาะสม และได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่
การเตรียมดิน
ขุดดินลึก 10-15 เซนติเมตร พลิกดินตากแดด และโรยปูนขาว อัตรา 0-100 กรัม/ตร.ม. ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ย่อยพรวนดินให้เป็นก้อนเล็กๆ ขึ้นแปลงกว้าง 1-1.2 เมตร ความยาวตามพื้นที่ปลูก
การเตรียมกล้า
- เพาะเมล็ดในกระบะที่มีส่วนผสมระหว่างทรายและขุยมะพร้าว อัตราส่วน 2:1 เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 5 วัน จึงย้ายไปปลูกในถาดหลุม ที่ใส่วัสดุเพาะ(Media)
- หยอดเมล็ดลงในถาดหลุมเพาะกล้า โดยตรงหลังจากต้นกล้า บร็อคโคลี่มีอายุประมาณ 25 วัน หรือมีใบจริง อย่างน้อย 2-3 ใบ จึงทำการย้ายปลูก (หากต้นกล้าเหลือง หรือก่อนย้ายปลูก 1 สัปดาห์ ควรพ่นปุ๋ยทางใบเสริม)
การปลูก
ขุดดินตากแดด อย่างน้อย 14 วัน ขึ้นแปลงกว้าง 1-1.2 เมตร สำหรับฤดูฝน ให้แปลงสูงกว่าปกติ 30-50 ซม. เพื่อการระบายน้ำ รองพื้นด้วยปุ๋ยเคมี 12-24-12 อัตรา 30 กรัม/ตร.ซม. หรือ 50 กก./ไร่ ใส่ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยคอก อัตรา 2-4 กิโลกรัม/ตรม. เมื่ออายุได้ 45 วัน
การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยใช้สปริงเกอร์
การให้ปุ๋ย
ประมาณ 5-7 วัน ควรมีการปลูกซ่อมกล้าที่ตาย เมื่อย้ายปลูกได้ 7-10 วัน ใส่ปุ๋ย 15-15-15 และ 21-0-0 อย่างละ 20-25 กรัม/ตร.ม. และใส่ปุ๋ยครั้่งที่ 2 เมื่ออายุได้ 25-30 วัน และใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 เมื่อเริ่มเข้าหัว มีอายุ 45-50 วัน พร้อมกำจัดวัชพืช แล้วพ่นสารเคมี ป้องกันศัตรูพืช ถ้ามีพบการเข้าทำลายของศัตรูพืช
การเก็บเกี่ยว
อายุ 90-100 วัน ตามฤดูกาลและสายพันธุ์
ประโยชน์ของบล็อคโคลี่
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา (ซีลีเนียม)
- ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน เรื่องจากบร็อคโคลี่เป็นผักที่มีแคลเซียมสูง
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยสามารถ
- ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
- ผักในตระกูลกะหล่ำ มีความสัมพันธ์กับการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้ (Strokes)
- ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรงยิ่งขึ้น
- สารซัลโฟราเฟนสามารถช่วยป้องกันการทำลายของหลอดเลือดที่เกิดจากโรคเบาหวานได้มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่ามีเพียงผักผลไม้ 5 ชนิดเท่านั้นที่มีารประกอบที่ทำหน้าที่คล้ายยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งได้แก่ บร็อคโคลี่ ส้ม แอปเปิ้ล หัวไชเท้า และมันฝรั่ง โดยบร็อคโคลี่นั้นเป็นผักที่มีสารดังกล่าวมากที่สุด
- ช่วยป้องกันความผิดปกติของเด็กแรกเกิด
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันเนื่องจากบร็อคโคลี่มีวิตามินซีที่สูงมาก
- บร็อคโคลี่มีส่วนช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง เนื่องจากเป็นผักที่มีแมกนีเซียมสูง
- สารซัลโฟราเฟนในบร็อคโคลี่ เป็นตัวช่วยทำให้ตับขับสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบร็อคโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียง 3 วัน
- ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
- บร็อคโคลี่มีสารเคอร์เซทิน (Quercetin) ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มความอึด แรงดี ออกกำลังได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหอบหืด ภูมิแพ้ มะเร็ง โรคหัวใจได้อีกด้วย
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขข้อ
แหล่งที่มา
ขอขอบคุณ : เดลินิวส์ / topicza