เมื่อเราพูดถึงการปลูกต้นไม้ พี่หมีฟันธงว่าร้อยทั้งร้อยก็ต้องคิดถึงภาพการปลูกลงในดินซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนนับตั้งแต่มนุษยชาติรู้จักการทำการเกษตร
ทว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและประดิษฐกรรมอันชาญฉลาดจากความคิดของมนุษย์ ทำให้เรามีวัสดุปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดให้เลือกใช้ อีกทั้งยังเป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดที่เคยเป็นปัญหาของคนยุคก่อน เช่น การทำการเกษตรในพื้นที่ที่จำกัดด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ เป็นต้น
การที่ต้นไม้สุขภาพดีต้องมีรากที่แข็งแรง ต้นไม้จะมีรากที่แข็งแรงได้จำเป็นต้องมีวัสดุปลูกที่เหมาะสม โดยวัสดุปลูกมีมากมายหลายชนิดให้เราเลือกใช้ ตั้งแต่วัสดุที่เราคุ้นชินเป็นอย่างดิน ไปจนถึงวัสดุปลูกอื่นที่ไม่ใช้ดินเลย
เพื่อไม่ให้สับสน พี่หมีขอแยกวัสดุปลูกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ วัสดุปลูกที่มีสถานะเป็นของแข็งซึ่งรวมถึงดินด้วย และแบบที่มีสถานะเป็นของเหลวหรือการใช้ปุ๋ยละลายลงไปในน้ำโดยตรงไม่ต้องผ่านชั้นดินหรือวัสดุอื่นใด ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ ”ไฮโดรโปนิกส์”
ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักวัสดุปลูกต้นไม้แต่ละประเภท พี่หมีอยากให้ทุกคนคำนึงถึงคุณสมบัติด้านล่างเหล่านี้ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานที่วัสดุปลูกพึงมี
- มีอากาศไหลผ่านตลอดเวลา
- มีน้ำเข้าถึงรากเพื่อให้พืชอิ่มน้ำ
- มีช่องระบายน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารากเน่า
- มีปุ๋ยและธาตุอาหารที่เพียงพอเข้าไปหล่อเลี้ยงบริเวณรากของพืชในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ
ในกรณีที่ใช้วัสดุปลูกแบบแข็งเราควรคำนึงถึงความหยาบและละเอียดของวัสดุที่เราใช้ เพราะทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณของออกซิเจนและไอออนปุ๋ยรวมถึงน้ำไปสู่ต้นไม้ของเรา
“ไฮโดรโปนิกส์” ปลูกได้ไม่ใช้ดิน
คำว่าไฮโดรโปนิกส์อาจจะดูเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์ที่เราเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ความจริงแล้ว “ไฮโดรโปนิกส์” มาจากคำศัพท์ในภาษากรีก อย่างคำว่า “ไฮโดร” ซึ่งหมายถึงน้ำและ “โปโนส” หมายถึงแรงงาน ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า “แรงงานน้ำ”
การปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์นี้สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าการปลูกในดินแบบธรรมดา เนื่องจากต้นไม้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไปกับการสร้างโครงสร้างของรากที่สลับซับซ้อนเหมือนกับในดินเพื่อเสาะแสวงหาธาตุอาหาร และใช้พลังงานนั้นมาพลิกดอกออกผลและทำให้ส่วนยอดโตขึ้นแทน
ข้อดีของการปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์คือเกษตรกรสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกได้เกือบทั้งหมด หมายความว่าเราสามารถที่จะปรับสิ่งแวดล้อมในฟาร์ม เช่น อุณหภูมิ แสง ความชื้น ให้เหมาะสมกับความต้องการของพรรณพืชของเรามากที่สุด
ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมอีกข้อคือระบบปลูกไฮโดรโปนิกส์ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผืนดินจำนวนมาก ความคล่องตัวนี้เป็นประโยชน์ให้กับคนหลายฝ่าย เพราะเอื้อให้เจ้าของกิจการสามารถปลูกในโรงเรือนที่ใกล้กับบริเวณพื้นที่จัดจำหน่าย ช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง อีกทั้งยังทำให้ผลิตผลยังคงสดใหม่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารครบถ้วนเมื่อถึงมือของผู้รับ
เนื่องจากเป็นระบบที่ต้องพึ่งพาการใช้น้ำเป็นหลัก การมีแหล่งน้ำที่สะอาดเข้าถึงได้สะดวกถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจคือระบบปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์จะใช้น้ำน้อยกว่าระบบปลูกแบบใช้ดินทั่วไปอยู่ประมาณ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สำคัญมากเพราะโลกของเราใช้น้ำจืดไปกับการเกษตรและการเพาะปลูกกว่า 70 เปอร์เซ็น
วัสดุปลูกแบบแข็งในท้องตลาด
- กาบมะพร้าว (Coconut coir)
เยื่อของเปลือกมะพร้าวหรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “กาบมะพร้าว” หรือเป็นวัสดุปลูกที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปในประเทศไทยเพราะสามารถหาได้ง่ายในภูมิภาคของเรา
ข้อดี
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ราคาไม่แพงหรือฟรี
- มีความพรุนหรือช่องว่างกว้างมาก
ข้อเสีย
- อาจจะมีการปนเปื้อนของเกลือในปริมาณสูง จำเป็นต้องมีการปรับสภาพก่อนใช้งาน
- สามารถปล่อยธาตุอาหารที่เราไม่ต้องการออกมาปนเปื้อนกับปุ๋ยของเรา การแก้ปัญหานี้จำเป็นที่จะต้องใช้ปุ๋ยสูตรพิเศษสำหรับกาบมะพร้าวเท่านั้น
- ย่อยสลายช้า (ไม่ใช่ปัญหาใหญ่)
- เพอร์ไลท์/หินอสัณฐานภูเขาไฟ (Perlite)
เพอร์ไลท์เป็นหินภูเขาไฟตามธรรมชาติ มีโครงสร้างการจัดวางเรียงตัวที่ไม่แน่นอนตอนมีหลายรูปทรงแตกต่างกันไป มีทั้งสีขาว ดำ และเทา
ข้อดี
- มีความพรุนสูง
- ไม่ต้องเตรียมพร้อมก่อนใช้งาน
- มีค่ากรดเบสหรือ pH เป็นกลาง
- สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากทำความสะอาด
- เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเฉื่อย หมายความว่าไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีหรือสิ่งเร้าได้ง่าย
ข้อเสีย
- เพอไลท์มีน้ำหนักที่เบาเกินกว่าจะใช้เป็นวัสดุปลูกเดี่ยวได้จึงจำเป็นที่จะต้องนำไปผสมกับวัสดุอื่น ๆ เช่น ดินเป็นต้น
- ไม่มีประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำ (ถือว่าเป็นข้อดีถ้าต้องการการระบายน้ำที่ดี)
- ก้อนดินเหนียว (Clay pebbles)
ดินเหนียวที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลมและนำไปผ่านความร้อนเพื่อให้คงตัว
ข้อดี
- อุ้มน้ำได้ดีเยี่ยม
- สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้วยการบดเพื่อให้การระบายน้ำดีขึ้น
- ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมี
- นำกลับมาใช้ใหม่ได้และทนทาน
ข้อเสีย
- ต้องรดน้ำในปริมาณที่มากขึ้น
- ถ้ารดน้ำไม่เพียงพอจะลอย
- ต้องล้างทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นก่อนนำไปใช้เพื่อป้องกันการอุดตันอุปกรณ์ต่าง ๆ
- เนื่องจากมีความหนาแน่นน้อยจึงไม่เหมาะที่จะใช้เพื่อการเพาะเมล็ด เพราะเมล็ดอาจจะตกลงไปที่ก้นกระถางได้
- ฉนวนใยหิน (Stone wool)
ฉนวนใยหินเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเกษตร ทำมาจากเศษวัสดุหินประเภทต่าง ๆ เช่น หินบะซอลต์ เป็นต้น
ข้อดี
- เป็นวัสดุที่มีความเฉื่อย
- อุ้มน้ำได้ดี
- ช่วยให้รากของต้นไม้ระบายอากาศได้ดี
- มีหลายขนาดและรูปทรงให้เลือก สามารถสั่งทำได้
ข้อเสีย
- มีค่ากรดเบสหรือ pH ที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากส่วนผสมที่เป็นหินบะซอลต์ทำให้ต้องมีการบัฟเฟอร์ก่อนนำไปใช้
- มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการรากเน่า
- ทำให้เกิดการระคายต่อผิวและปอด
วัสดุปลูกบางชนิดสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุปลูกหลักหรือจะนำไปผสมกับวัสดุปลูกชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ได้วัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับต้นไม้ที่เรากำลังปลูกมากที่สุด ซึ่งนับว่าเป็นการมิกซ์แอนด์แมทช์คุณสมบัติที่มีในแต่ละวัสดุนั่นเอง
“ดิน” วัสดุปลูกยอดนิยมตลอดกาล
ดินมีองค์ประกอบที่หลากหลายแปรผันไปตามสภาพพื้นที่และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปทั่วโลก แต่ก็มีองค์ประกอบหลักร่วมกัน ได้แก่ อากาศ แร่ธาตุ น้ำ และซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกัน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนช่วยประกอบสร้างระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือจุลินทรีย์ที่มีความหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อพืช
องค์ประกอบทางเคมีก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุและสารอาหารในดิน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงต่อความสามารถของพืชในการดูดซึมธาตุอาหารเหล่านี้ไปใช้ โดยองค์ประกอบทางเคมีในที่นี้มักจะหมายถึงค่า “ความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออน (cation exchange capacity)” เป็นตัวใช้บ่งชี้ปริมาณสารอาหารในดิน
ดินเหนียวและซากพืชซากสัตว์ (หลายคนอาจรู้จักกันในชื่อ ฮิวมัส [humus]) เป็น 2 องค์ประกอบที่มีไอออนประจุลบซึ่งโดยธรรมชาติจะดึงดูดไอออนประจุบวกซึ่งก็คือประจุของไอออนที่เป็นสารอาหารเกือบทั้งหมดนั่นเอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมสารอาหารของพืชที่อยู่ในดินเพราะสารอาหารอยู่กับที่และส่งผลให้มีค่ากรดเบสหรือ pH ที่เป็นธรรมชาติ
ความสามารถของดินในการลดการเปลี่ยนแปลงของค่า pH สร้างความเสถียรให้กับความสามารถในการละลายของไอออนธาตุอาหารในกรณีที่ค่า pH ตามธรรมชาติตรงกับช่วงค่าระดับพิสัยการทำละลายของไอออนนั้น ๆ
แต่ดินที่ต่างชนิดกันก็มีค่า pH ที่แตกต่างกันออกไปอันเป็นปัจจัยมาจากองค์ประกอบของดินนั่นเองและแน่นอนว่าส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการละลายของไอออน
แม้ว่าพืชจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างได้ แต่ละสายพันธุ์ก็มีจุดอ่อนและเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินทำให้เกิดอาการขาดสารอาหารได้ ตัวอย่างเช่น บลูเบอร์รี่และต้นสนสามารถโตได้ดีในดินที่มีค่า pH ต่ำและไม่พบกับสภาวะขาดสารอาหาร นั่นเป็นเพราะว่าพืชแต่ละสายพันธุ์เหมาะกับค่าพิสัย pH ที่ต่างกันออกไป
สิ่งที่เราทำได้และควรทำคือวัดค่า pH ของดินก่อนที่จะทำการปลูกพืชใดใดเพื่อใช้ประเมินว่าดินนี้เหมาะที่จะใช้ปลูกพืชหรือสายพันธุ์พืชใดมากที่สุด ในทางกลับกันถ้าต้นไม้ที่คุณกำลังปลูกอยู่ดูแคระแกรนหรือโตช้าผิดปกติ นักปลูกก็ควรที่จะวัดค่า pH ในดินที่ใช้ซึ่งอาจทำให้รู้สาเหตุและแก้ไขได้ถูกต้อง
หลักการทำงานของการดูดซึมธาตุอาหารไม่ต่างอะไรกับไฮโดรโปนิกส์นั่นคือน้ำในดินจะพาธาตุอาหารที่ละลายแล้วไปสู่บริเวณรากพืช แต่สิ่งที่ต่างกันคือธาตุอาหารจะไม่ได้อยู่ในน้ำโดยตรงแต่จะมาจากซากพืชซากสัตว์ ซึ่งผ่านการย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ หรือจุลินทรีย์
จุลินทรีย์เหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการรักษาและพัฒนาความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินอีกทั้งยังช่วยให้ต้นไม้ที่อยู่ในดินเจริญเติบโต ตัวอย่างเช่น กระบวนการไนตริฟิเคชัน คือการเปลี่ยนแปลงสารประกอบไนโตรเจนไปเป็นไนไตรท์และไนเตรทโดยแบคทีเรีย ทำให้พืชสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้
เราสามารถพบกับจุลินทรีย์ในสิ่งแวดล้อมตลอดเวลาเราจะสามารถพบจุลินทรีย์ได้ทั่วไปในบริเวณรากของพืช ไม่ว่าจะเป็นวัสดุปลูกชนิดใดก็ตาม
การที่เรารู้คุณสมบัติของวัสดุปลูกชนิดต่าง ๆ ที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเลือกวัสดุที่เหมาะกับชนิดของต้นไม้ที่เรากำลังจะปลูกได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วจะเป็นผลดีต่อตัวต้นไม้เอง
นอกจากจะได้วัสดุที่เหมาะสมแล้วเรายังสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าจากการสุ่มตัดสินใจซื้อของแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในกลุ่มผู้ที่เริ่มปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกและมักจะช้อปปิ้งออนไลน์